วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Interactive Instruction

Interactive Instruction: Creating Interactive Learning Environments Through Tomorrow’s Teachers

Diallo Sessoms
Salisbury University




การจัดการเรียนการสอนที่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ 

(Interactive Instruction)

โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่มีการปฏิสัมพันธ์สำหรับครูในอนาคต

ปาจรีย์รักษ์ ถนอมทรัพย์ 565050024-2


       ปัจจุบันนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนการสอน และการเรียนรู้ โดยการเพิ่มหลักสูตรเกี่ยวกับการบูรณาการด้านเทคโนโลยี ให้ครอบคลุมกับการเรียนการสอนในอนาคต คำถามเกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันที่ดูเหมือนในชีวิตจริงคืออะไร? คำตอบ คือ เป็นการรวมกันระหว่างการสอนและการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ที่ถูกสนับสนุนด้วยเครื่องมือเทคโนโลยี สิ่งหนึ่งที่แนะนำในการวางแผนระบบกับการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตเพื่อจัดหาช่องทางสำหรับนักเรียนและครู คือ สร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ นวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยให้บรรลุผลซึ่งประกอบด้วย กระดานโต้ตอบและเครื่องมือWeb 2.0 หากประกอบด้วยทั้งสองนี้ก็จะสามารถสร้างช่องทางการโต้ตอบทั่วโลก เปิดโอกาสให้ครูได้ใช้ความสามารถในการสอนในสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์
   หลักสูตร(ครู)ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ต้องมุ่งไปที่การพัฒนาครูกับการสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนจัดเตรียมการสอนและการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องมือดิจิตอลไว้ เครื่องมือหลายๆ อย่างสนับสนุนกรอบการสอนและเรียน อย่างไรก็ตามมันอาจมีผลเสียกับครูที่ไม่สามารถใช้เครื่องมือเช่นที่กำลังมาใหม่นี้ นอกเหนือจากการจัดการฝึกและการสนับสนุนครูอาจใช้เทคโนโลยีไปสนับสนุนกระบวนทัศน์การนิเทศที่สืบต่อกันมา ซึ่งมิได้เป็นประโยชน์ต่อความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์ของเทคโนโลยีที่หลากหลาย

THEORETICAL FRAMEWORK


        ความเหมือนกันของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงการศึกษาเสมอคือ เปลี่ยนแปลงในค่าของสถานที่ หลักสูตรใหม่ถูกแนะนำ และเทคโนโลยีใหม่ได้จำกัดความใหม่เกี่ยวกับว่าเราจะสอนและเรียนอย่างไร การใช้เทคโนโลยีในชั้นเรียนยังคงมีอยู่กับเครื่องมือเหล่านี้ เช่น โทรทัศน์และโปรเจ็กเตอร์

ระบบที่เสนอการสร้างวิธีการสอนที่ดีกว่า การเปลี่ยนแปลงประเภทของการบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนและเรียนรู้ไปสู่สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ ขอบข่ายถูกประยุกต์ไปยังรูปแบบการสอนใหม่ รู้เกี่ยวกับการสอนและเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ การแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ฮาร์ดแวร์ ที่สามารถโต้ตอบ และเครื่องมือWeb 2.0 ซึ่งรูปภาพข้างล่างนี้ จะแสดงถึงส่วนประกอบและการปฏิบัติการของครูและนักเรียน เค้าโครงนี้ยังถูกประยุกต์ไปยังระดับk-12และยืดหยุ่นสามารถรวมถึงเครื่องมือต่างๆ ด้วย เค้าโครงนี้ คือ การรวมกันของทฤษฎีการเรียนรู้และเครื่องมือที่รวมทั้งหลักคอนสตรัคติวิสต์ การสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ การเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ เครื่องมือแบบมีปฏิสัมพันธ์ และการมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบระหว่างครูและนักเรียน






ตัวอย่าง Framework learning



CONSTRUCTIVISM


     ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ประกอบด้วยการเรียนรู้หรือการสร้างความรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นในการแสดงออกของสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ของพวกเขา ซึ่งเกิดขึ้นภายในสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น กระดานโต้ตอบเน้นแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ นั่นก็คือ การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น




การมีส่วนร่วม


INTERACTIVE TEACHING

        การสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์เริ่มต้นจากปรัชญาเกี่ยวกับการสอนที่ใช้เทคโนโลยีและผลของวิธีการใหม่ในการเรียนการสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึงทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ กระดานโต้ตอบ และเครื่องมือWeb 2.0คือ1รูปแบบในการคิดเกี่ยวกับวิถีการสอนใหม่ ในกรอบนี้ทั้งครูและนักเรียนเป็นจุดศูนย์กลางในการลงมือปฏิบัติ โดยครูมีหน้าที่ในการวางแผน สอนและจัดลำดับการสนับสนุนให้โต้ตอบกับเทคโนโลยี นักเรียนมีหน้าที่ในการสร้างและชี้แจงความรู้เช่นเดียวกับการร่วมมือกับเพื่อนในการสร้างความรู้ขึ้นมา

INTERACTIVE LEARNING

          การเรียนแบบเก่า นักเรียนจะนั่งและรับเอาความรู้จากครูที่สอนและเขียนบนกระดาน การเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์จะหมายถึงการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นในวิธีการเรียนรู้ ในสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้จะบูรณาการให้มีกระดานโต้ตอบ ผู้เรียนจะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นให้แสดงออกโดยครูในกระดานโต้ตอบ เช่นเดียวกับทางคำพูดและทางกาย การมีปฏิกิริยากับกระดานโต้ตอบ





INTERACTIVE TOOLS

         กระดานโต้ตอบ คล้ายกับอย่างที่รู้ คือกระดานดำอิเล็กทรอนิกส์ที่มีจอแสดงผลซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลายขนาดโดยบริษัทแตกต่างกัน อย่างเช่นSony Prometheanและอื่นๆ กระดานโต้ตอบมี 2การทำงานที่แตกต่างกัน คือ แสดงผลและการใช้โต้ตอบกัน ในส่วนของเครื่องมือแสดงผล ครูจะสามารถแสดงไฟล์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องSoftwareหรือ ทรัพยากรอินเทอร์เน็ต ซึ่งกระดานโต้ตอบนี้สามารถให้ผู้ใช้เขียนและจัดการสิ่งต่างๆที่ประกอบด้วยภาพและตัวหนังสือได้โดยเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านUSBและโปรเจ็กเตอร์ไปยังคอมพิวเตอร์ อีกทั้งมีข้อได้เปรียบว่าสามารถใช้ในห้องเรียนเพื่อการจัดการที่ยืดหยุ่นในการสื่อสารกับบทเรียน สนับสนุนนักเรียนให้โต้ตอบกับเนื้อหา จัดให้เห็นชัดเจนเกี่ยวกับกรอบแนวคิดของผู้เรียนได้ดีกว่า และมีแรงผลักดันให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากกว่าเครื่องมือ Web 2.0 จะเกี่ยวกับชุมชนสังคมและความสามารถในการมีส่วนร่วมไปยังการมีปฏิสัมพันธ์ในWeb basedผู้สนทนาในWeb 2.0 เช่น คนที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้น แสดงต่อสาธารณะ สร้างสรรค์ แสดงบทบาท และอื่นๆ เป็นต้น

Tools for Teaching

Tools for students



INTERACTIVE BOARDS + WEB 2.0 TOOLS


เป็นการเรียนรู้ไปกับเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21สำหรับการแสดงผลที่เป็นมาตรฐานสากลของนักเรียนและเทคโนโลยี การบูรณาการเทคโนโลยีทำให้เข้าใจว่าหลักสูตรวิธีการนั้นสนับสนุนการพัฒนาของการสอนหลักปรัชญาให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี ในขณะที่เราสามารถและเลือกสนใจประสิทธิภาพของครูที่มีประสบการณ์ในการใช้การสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ที่สนับสนุนด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยี ทำให้วิเคราะห์ในกระบวนการเริ่มต้นกับนักศึกษาครู สถาบันการศึกษาเชื่อว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่มีนักศึกษาฝึกสอนก่อนการควบคุมที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียนส่วนบุคคลดูเหมือนว่าครูฝึกสอนต้องยึดความซับซ้อนในประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่มีปฏิสัมพันธ์ เป็นการสร้างการสอนที่มีปฏิสัมพันธ์และสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องมีทักษะการใช้เทคโนโลยี แต่ครูต้องคำนึงถึงมุมมองทางปัญญาที่ใช้เทคโนโลยีในการสอนและการสร้างแบบฝึกหัด คือผสมผสานเทคโนโลยีในวิธีการสอนด้วย วิธีการและหลักสูตรพื้นฐานต้องใส่กรอบแนวคิดให้เทคโนโลยี ที่ควรเน้น คือ การวางแผนที่ครบถ้วน การออกแบบ การจัดเตรียมอุปกรณ์ และการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน หลักสูตรวิธีการในอนาคตต้องมีเทคโนโลยีที่มีปฏิสัมพันธ์อยู่ หากครูฝึกสอนไม่เข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์แล้วละก็จะไม่สามารถพัฒนาไปเป็นครูในโรงเรียนได้ หลักสูตรเทคโนโลยีปกติควบคู่กับการผสมผสานหลักสูตรวิธีการเทคโนโลยีที่มีปฏิสัมพันธ์จะสร้างให้ครูได้เตรียมพร้อมจากห้องเรียนไปสู่สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ ในทางนี้หลักสูตรการศึกษาจะสามารถเปลี่ยนครูในอนาคตไปสู่ห้องเรียนสิ่งแวดล้อมได้




INTERACTIVE BOARDS

อ้างอิง
Diallo Sessoms 
Salisbury University

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความหมายของ Learning Environments


     
               By Pacharirak Thanomsap 565050024-2



Learning Environments คือ สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ ,
ส่ิงแวดล้อมทางการศึกษา, บรรยากาศการเรียนการสอน

สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งแวดล้อมทั้งกายภาพและไม่ใช่การภาพในสถานศึกษา และในห้องเรียน ซึ่ง หมายรวมถึง เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสภาพการที่มีผลต่อการเรียนรู้ แหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เอื้อต่อการสนับสนุน การเรียนรู้ และการนําาวิทยาการไปใช้ในการเรียนการสอน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน ผู้สอน ผู้ บริหาร

กระบวนการเรียนรู้ หมายถึง วิธีการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนที่ได้รรับการยอมรับ รวมทั้งวิธีการแก้ปัญหา การ สร้างสรรค์ และการเรียนอย่างลึกซึ้ง การสร้างนิสัยในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ โดยผ่านกระบวนการสอน และพัฒนา การเรียนรู้มากข้ึน 

การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (LearningEnvironment) มีความหมายว่าส่ิงต่างๆสภาวะแวดล้อมที่อยู่ รอบ ๆ ตัวผู้เรียน ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ส่งผลต่อผู้เรียนทั้งทางบวกและทางลบ และมีผลกระทบต่อ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ห้องเรียนที่ถูกสุขลักษณะ มีสิ่งอํานวยความสะดวกที่มี คุณภาพเหมาะสมและสนับสนุนการเรียนรู้มีบรรยากาศในการเรียนที่ดีก็จะส่งผลทางบวกต่อผู้เรียนทําาให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุขมีความตั้งใจและกระตือรอืร้นในการเรียน 

ปัจจัยสภาพแวดล้อมของห้องเรียน 

สภาพบรรยากาศของห้องเรียนประกอบด้วย 4 ประการคือ

1.ค่านิยม(Values) คือ แนวคิดหลักหรือมโนทัศน์ที่ครูต้องการให้เด็กเรยีนรู้แม้ครูจะตั้งเป้าหมายและหัวข้อต่างๆไว้ มากมายก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้มักจะประกอบด้วยแนวคิดหลักๆ เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น โดยแนวคิดหลักเหล่านี้ควรจะสะท้อนออก มาในวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนรู้ของครู ซึ่งใช้คําานิยามสั้นๆ เพียงไม่กี่คําา

2. สภาพแวดล้อม (Environment) หมายถึง สภาพทางกายภาพในห้องเรียนหรือศูนย์การเรียน ครูอาจจะควบคุมทุกอย่างไม่ ได้ แต่ครูสามารถควบคุมได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า การจัดห้องเรียน การตกแต่งผนังห้อง และการใช้พื้นที่ภายในห้องเรียนของ เด็กปัจจัยต่างๆเหล่านี้ควรสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดหลักของครูกญุ แจสําาคัญในเร่ืองนี้คือการจัดสภาพแวดล้อมให้ตอบสนอง วัตถุประสงค์ที่ครูกําาหนด เพราะการสอนคือการปฏิบัติอย่างจงใจทคี่ รูจะต้องเสริมกําาลังทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รายรอบตัวเด็ก

3. รูปแบบของการปฏิบัติ (Patterns of Action) คือ รูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียนที่ครูคาดหวัง รูปแบบเหล่านี้จะ ผูกพันกับค่านิยมที่ครูกําาหนดไว้ สงิ่ ที่ดีที่สุดประการหนึ่งที่ครูสามารถทําาได้คือการช่วยเด็กให้เข้าใจและรับรู้ในสิ่งที่ครูคาดหวัง วิธีการนี้หมายรวมถึงการมอบหมายงานที่เด็กต้องรับผิดชอบพิเศษ ตารางเวลาปฏิบัติงานที่แน่นอน และการกําาหนดกฎ ระเบียบพื้นฐาน (ทั้งหมดนี้สามารถนําามาทําาเป็นแผนภูมิขนาดใหญ่แขวนไว้บนผนังห้อง ดังนั้น จึงควรใช้สภาพแวดล้อมเพื่อ สะท้อนแนวคิดที่จะนําาไปสู่รูปแบบในการปฏิบัติการ)

4. ผู้คน (People) เป็นส่วนสําาคัญที่สุด ครูควรระลึกเสมอว่าคนจําานวนมากสามารถช่วยเหลืองานของครูได้ เพียงแต่ถ้าครูรู้จัก เลือกใช้คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น รปภ.ไปจนถึงพ่อแม่ผู้ปกครองและคนในชุมชน ทุกคนสามารถเป็นประโยชน์ต่อการจัดการ เรียนการสอนของครูได้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น หากหนึ่งในเป้าหมายของครูคือการให้นักเรียนปฏิบัติตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ครูจะแสดงให้เด็กเห็นถึงการนําาไปสู่สิ่งเหล่านั้นอย่างไร มีรูปภาพประกอบหรือไม่ มีแขกรับเชิญจากภายนอกมาพูดคุยกับเด็ก บ้างหรือไม่ ฯลฯ

Learning Environments: First step to goal

Learning Environments: First step to goal 
สภาพแวดล้อมทางการเรียนปฐมบทแห่งความสําาเร็จ





คุณลักษณะการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียน 


การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียน แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะด้วยกันคือ

1.สภาพแวดล้อมทางด้านกายภาพ เป็นสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ อาคารสถานที่ โต๊ะ เก้าอี้ สื่อ อุปกรณ์การ สอนต่างๆ รวมทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตามธรรมชาติได้แก่ ต้นไม้ พืช ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ เป็นต้น จะส่งผลต่อการเรียนการ สอน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน แบ่งออกเป็น
  1.1 สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ประกอบด้วยห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ แสงสว่าง สี เสียง อุณหภูมิ เหล่านี้เป็นต้น
   1.2 สภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ได้แก่ แหล่งความรู้ต่างๆ เช่น แหล่งวิทยบริการ ห้องปฏิบัติการ ห้อง ทดลอง โรงฝึกงาน ห้องสมุด ศูนย์วัฒนธรรม ต่างๆ

จัดบรรยากาศภายในห้องเรียน


2. สภาพแวดล้อมทางด้านจิตภาพ ได้แก่สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อ ความรู้สึกจิตใจ เจตคติของนักเรียน ที่มีต่อการเรียน การสอน แบ่งออกเป็นองค์ประกอบสําาคัญใหญ่ ๆ 2 องค์ประกอบคือ
  2.1 องค์ประกอบด้านนักเรียน บุคลิกภาพและพฤติกรรมของนักเรียน ระดับสติปัญญา และสถานภาพทางครอบครัว 
 2.2 องค์ประกอบด้านผู้สอน บุคลิกภาพและพฤติกรรมของครูผู้สอน ความรู้และประสบการณ์ และเทคนิคการสอน





3. สภาพแวดล้อมทางด้านสังคม ได้แก่สภาพแวดล้อมที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล องค์ประกอบของ สภาพแวดล้อม ทางการเรียนด้านสังคม เช่น
  3.1 การสร้างบรรยากาศในชั้นเรียน 
  3.2 การสร้างแรงจูงใจ
  3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน



สรุป

บรรยากาศในห้องเรียนเป็นสิ่งที่ครูทุกคนสร้างได้ หากครูมีความตั้งใจจริงที่จะพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ของตนเองให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
ซึ่งการที่จะเรียนรู้ได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการมาเป็นองค์ประกอบ เพราะเหตุนี้จึงที่จะต้องจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสม กล่าวโดยสรุปแล้วมนุษย์จะเรียนรู้ได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ

1.ปัจจัยภายใน ได้แก่ ผู้ศึกษา หรือตัวของผู้เรียนเองว่า จะมีความสนใจ เอาใจใส่ ขยันที่จะทําาการศึกษามากน้อย แค่ไหน
2.ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น บรรยากาศ ความพร้อมของสถานที่ และสื่อการสอน ตัวของผู้ สอน เป็นตัน

ปัจจัย 2 อย่างนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาแล้วจึงเป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมา ได้ และทั้งผู้สอน และผู้เรียนต้องร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อให้การเรียนรู้นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด


อ้างอิง
Learning Environments

Seven Goals for the Design of Constructivist Learning Environments


การออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์
ที่ต้องอาศัยเป้าหมายของศาสตร์การสอน 7 ประการ
Seven Goals for the Design of  Constructivist Learning Environments

ปาจรีย์รักษ์ ถนอมทรัพย์
565050024-2
สาขาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

บทคัดย่อ
                วัตถุประสงค์ของการออกแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเผชิญกับปัญหาสภาพจริง โดยใช้สื่อวิธีการตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ มาเป็นรากฐานในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน โดยผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน กับสังคม เพื่อให้เกิดการสะท้อนผลเกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้นั้นๆ ผู้เรียนสามารถสร้างความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ใหม่ๆขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ การเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิมที่ผู้เรียนนั้นมี เกิดกระบวนการคิด การพัฒนาทางความคิด การเรียนรู้จากประสบการณ์ สื่อ หรือสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ทั่วไป ซึ่งการจัดสิ่งแวดล้อมนั้นจะต้องมีกิจกรรมที่สอดคล้องกับสภาพจริง เพื่อให้การจัดการเรียนรู้นั้น มีความหมาย

คำสำคัญ : กระบวนการสร้างความรู้, สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์(CLEs)

Abstract
                The purpose of the design of learning environment for the students to face the real problem . How the media along constructivist Whistler . The foundation of learning for the students. Students will gain experience by learning on their own. And interact with society to achieve a reflection about learning itself. Students can build an understanding of what they learn on their own. The students will be learning a new dependent relationship . The link between prior knowledge that the learner is . The thinking process. Development of ideas . Learning from experience, learning media or environmental topic. The environment must be consistent with the actual events . So that learning is meaningful.

Keyword : Process of  knowledge , Constructivist Learning Environments (CLEs)
               
บทนำ
                ในการการจัดการเรียนการสอนลักษณะนี้สอดคล้องกับ แนวความคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่ว่าด้วยการสร้างความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง จากการแปลความหมายตามประสบการณ์เดิมของผู้เรียน โดยผู้สอนมีหน้าที่จัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาโดยอาศัยสมมติฐานที่ว่า สถานการณ์ที่เป็นปัญหานั้นก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสร้างความรู้เพื่อขจัดความขัดแย้งทางปัญญานั้น ซึ่งนักออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ได้อาศัยเป้าหมายของศาสตร์การสอน 7 ประการ ( Cunningham, Duffy & Knuth, 1993; Khuth & Cunningham, 1993) ไว้ว่าดังนี้
              1)   จัดเตรียมประสบการณ์ด้วยกระบวนการสร้างความรู้ หรือ กระบวนการสร้างประสบการณ์ความรู้ นักเรียนจะรับผิดชอบในเบื้องต้นสำหรับการกำหนดหัวเรื่องหรือหัวเรื่องย่อยในขอบข่ายที่จะทำการศึกษา วิธีการที่จะเรียนรู้และกลยุทธ์ หรือวิธีการสำหรับการแก้ปัญหา บทบาทของครูผู้สอนจะช่วยเอื้ออำนวยกระบวนการนี้

             2)  จัดประสบการณ์และเห็นคุณค่าในมุมมองที่หลากหลาย หรือ การสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งในรูปแบบที่หลากหลาย  ปัญหาในโลกแห่งความจริงแทบจะไม่มีวิธีการที่ถูกต้อง หรือการแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีเดียว แต่จะมีวิธีการที่หลากหลายที่จะคิด และแก้ปัญหา นักเรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่จะกระตุ้นตนเองในการประเมินทางเลือกในการแก้ปัญหา อาจจะเป็นวิธีการที่เป็นวิธีการทดสอบและเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจให้สมบูรณ์




                     3)  ฝังการเรียนรู้ในบริบทตามสภาพจริงและเกี่ยวข้อง หรือ การเรียนที่ฝังอยู่ในสภาพจริงและบริบทการแก้ปัญหาที่ตรงกับสภาพจริง  การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริบทของโรงเรียน ในขณะที่นักการศึกษาได้นำเสียงของชีวิตจริงออกจากกิจกรรมการเรียนรู้ ตัวอย่าง ปัญหาในหนังสือคณิตศาสตร์ไม่บ่อยนักที่จะเกี่ยวข้องกับตัวอย่างของปัญหาที่พบในชีวิตจริง ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นการลดความสามารถของนักเรียนในการเชื่อมโอนความรู้ สิ่งที่พวกเขาเรียนในโรงเรียนไปสู่ชีวิตประจำวันเพื่อให้ผ่านพ้นปัญหานี้ นักออกแบบหลักสูตร หรือ ครู ต้องพยายามที่จะคงไว้ซึ่งบริบทตามสภาพจริง ของกิจกรรมการเรียนรู้ นักการศึกษาต้องตั้งปัญหาบนรากฐานภายใน เสียง และความซับซ้อนรอบๆ ตัวผู้เรียนภายนอกห้องเรียน นักเรียนต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึงความซับซ้อน และเสียงให้ได้เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาที่แก่นของปัญหา

     4)   สนับสนุนความเป็นเจ้าของ และแสดงความเห็นในกระบวนการเรียนรู้ หรือ การส่งเสริมและสนับสนุนการคิดด้วยตนเองในกระบวนการเรียนรู้ นี้คือการแสดงให้เห็นถึงการเน้นนักเรียนเป็นสำคัญในการเรียนรู้แบบคอนสตรัคติวิสต์ มากกว่าที่ครูจะกำหนดสิ่งที่ให้นักเรียนเรียน นักเรียนจะมีบทบาทที่เข้มแข็งในการกำหนดประเด็นและทิศทาง เช่นเดียวกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ในกรอบแนวคิดนี้ครูจะเป็นที่ปรึกษาซึ่งช่วยนักเรียนเรียนรู้ไปตามกรอบวัตถุประสงค์การเรียนรู้

             5)  การฝังการเรียนรู้ในประสบการณ์ด้านสังคม หรือ การฝังการเรียนรู้ลงในประสบการณ์ทางสังคม การพัฒนาทางสติปัญญามีอิทธิพลมาจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ดังนั้น การเรียนรู้ควรจะสะท้อนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียนและนักเรียนกับนักเรียน




                    6)   สนับสนุนการใช้รูปแบบของการนำเสนอที่หลากหลาย หรือ การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้รูปแบบที่หลากหลายในการนำเสนอ  การสื่อสารทางคำพูดและการเขียน เป็นสองรูปแบบการส่งผ่านความรู้แบบทั่วๆไปในการจัดการศึกษา ซึ่งการเรียนรู้ที่อาศัยการสื่อสารรูปแบบดังกล่าว มีข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการที่นักเรียนจะมองโลก หลักสูตรควรรับเอาสื่อที่เพิ่มขึ้นมา เช่น วิดีโอ คอมพิวเตอร์ ภาพถ่าย และเสียง ที่จะจัดเตรียมประสบการณ์ที่สมบูรณ์




                   7) สนับสนุนให้เกิดความตระหนักด้วยตนเองในกระบวนการสร้างความรู้ หรือ การส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองในกระบวนการสร้างโครงสร้างทางปัญญา ตัวชี้วัดผลการเรียนจากการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์คือ การรู้ว่าเราเรียนรู้อย่างไร มันเป็นความสามารถของนักเรียนในการอธิบายได้ว่า ทำไม หรืออย่างไรที่ผู้เรียนแก้ปัญหาในวิธีที่แน่นอน เพื่อวิเคราะห์การสร้างความรู้และกระบวนการของนักเรียน Cunningham et al. (1993) เรียกว่า  “ reflexivity” เป็นการขยายของ meta cognition และการไตร่ตรอง

        DESIGNING CONSTRUCTIVIST LEARNING ENVIRONMENTS
        
       การออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ตามหลักการ CONSTRUCTIVIST LEARNING ENVIRONMENTS มุ่งส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและพัฒนาความคิดรวบยอดที่เกิดจากสถานการณ์ที่มีความยุ่งยากซับซ้อน 
      ซึ่งรูปแบบการจำลอง สำหลับการออกแบบ CLEs ของ Jonassen อธิบายถึงส่วนประกอบที่จำเป็นในการออกแบบ CLEs ไว้ดังนี้

Model for designing Constructivist Learning Environment. Jonassen, D. (1999)

        คำถาม กรณี ปัญหา หรือโครงงาน
   จุดมุ่งหมายของ CLEs คือ ปัญหาที่ผู้เรียนพยายามจะแก้ ซึ่งใช้ปัญหานี้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งต่างจากการสอนแบบ Objectivist หรืออาศัยพื้นฐานของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมที่ใช้การลงมือกระทำกับตัวอย่างที่เป็นหลักการความคิดเดิม ซึ่งผู้เรียนจะได้เรียนรู้บริบทในระดับที่ใช้แก้ปัญหามากกว่า การประยุกต์ความรู้ในการแก้ปัญหา
        กรณีที่เกี่ยวข้อง
      การเข้าใจในแต่ละปัญหานั้นเป็นการกระตุ้นประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหานั้นๆ และสร้างรูปแบบความคิดเกี่ยวกับปัญหา ในกรณีที่ผู้เรียนมีประสบการณ์น้อยจึงเป็นการยากในการแก้ปัญหา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ CLEs ที่จะจัดให้มีการเข้าถึงประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งผู้เรียนสามารถนำมาอ้างอิงได้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจประเด็นของปัญหาได้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผู้เรียนใน 2 ทาง คือ ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดี และกระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดความยืดหยุ่นทางปัญญา
        แหล่งข้อมูล
          ในการที่จะตรวจสอบปัญหาผู้เรียนต้องการข้อมูลที่จะสร้างเป็นเมนทอลโมเดลที่ใช้ในการทำความเข้าใจ (mental model) และจัดกระทำกับสมมติฐานที่จะลงมือปฏิบัติแก้ปัญหาในพื้นที่นั้น ดังนั้นการออกแบบ CLEs ควรจะเลือกชนิดของข้อมูลที่ผุู้เรียนต้องการใช้ในการเข้าใจปัญหาฐานข้อมูลที่หลากหลายเป็นส่วนสำคัญใน CLEs ที่จะจัดให้ผู้เรียนสามารถเลือกข้อมูลได้ในเวลาที่ต้องการ
       เครื่องมือทางปัญญาในการสร้างความรู้ (Cognitive Tools)
       เครื่องมือทางปัญญามีหน้าที่ในการช่วยเหลือทางด้านสติปัญญาของผู้เรียน โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับ CLEs อาจเป็นการช่วยผู้เรียนนำเสนอปัญหา หรือภารกิจได้ดีกว่า ที่พวกเขาลงมือปฏิบัติ
      เครื่องมือในการสนทนา และการร่วมมือกันแก้ปัญหา
         ความคิดที่ร่วมสมัยของเทคโนโลยีที่สนับสนุนการจัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนส่วนใหญ่ คือ การใช้คอมพิวเตอร์ในหลายวิธีในการติดต่อสื่อสาร เพื่อที่จะสนับสนุนให้เกิดการร่วมมือกันแก้ปัญหาระหว่างชุมชนของผู้เรียน
       การสนับสนุนทางสังคมหรือบริบท
         การปรับปัจจัยที่เป็นบริบทเป็นสิ่งสำคัญของการนำไปใช้ให้ประสบผลสำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นในการโค้ช ผุู้สอนและบุคคลผู้ซึ่งจะสนับสนุนการเรียนรู้ และโค้ช ผู้เรียนที่จะเรียนผ่านสิ่งแวดล้อม

      แนวคิดสำคัญ
   การจัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้จะต้องอาศัยการแปลความหมาย และการสนับสนุนทางสติปัญญาที่แวดล้อมปัญหา จุดมุ่งหมายของผู้เรียน คือ การแปลความหมายและแก้ปัญหาหรือการทำให้โครงงานเสร็จสมบูรณ์ กรณีที่ใกล้เคียง และแหล่งข้อมูลช่วยสนับสนุนความเข้าใจในปัญหา และเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาที่อาจเป็นไปได้ เครื่องมือทางปัญญาช่วยให้ผู้เรียนแปลความหมายของปัญหาและลงมือกระทำกับปัญหาได้ เครื่องมือในการสนทนาหรือการเรียนแบบร่วมมือเพื่อเป็นการสร้างชุมชนของผู้เรียนในการหาข้อยุติและสร้างความหมายสำหรับปัญหา และการสนับสนุนทางสังคมหรือบริบทช่วยให้ผู้เรียนดำเนินการเป็นผลสำเร็จ

ข้อสรุป
                เป้าหมายทางด้านศาสตร์การสอน 7 ประการของคอนสตรัคติวิสต์ ได้เสนอแนะให้นักออกแบบได้กรอบแนวคิดที่แข็งแกร่งในการสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งบรรลุตามเป้าหมาย นักออกแบบได้พยายามที่จะนำทฤษฎีลงสู่การปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของศาสตร์การสอนจะเป็นเพียงกรอบแนวคิด นักออกแบบต้องมุ่งมั่นสำหรับการสร้างสรรค์ในการเปลี่ยนเป้าหมายเหล่านี้ลงสู่กิจกรรมที่แท้จริง สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในรูปแบบที่ต่างกัน เป็นภาระหน้าที่ของนักออกแบบคิดได้เกี่ยวกับวิธีการออกแบบการสอนที่แตกต่างและกลยุทธ์ที่จะนำเป้าหมายของศาสตร์การสอนมาใช้ให้คงอยู่ ซึ่งหลักของ Seven Goals for the Design of  Constructivist Learning Environments  ก็จะเป็นส่วนประกอบในการจัดการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ที่จะต้องอาศัยหลักการดังกล่าวนี้เพื่อเป็นการนำทฤษฎีลงสู่การปฏิบัติ

ที่มา
 (1)     Peter C.Honebein : Seven Goals for the Design of  Constructivist Learning Environments
 (2)     Jonassen H.D. : Constructivist learning environments
            (3)   สุมาลี ชัยเจริญ : หนังสือ เทคโนโลยีการศึกษา หลักการ ทฤษฎี สู่การปฏิบัติ. สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์. มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2551
                (4)    อภิดา รุณวาทย์ : บทความวิจัยการสังเคราะห์รูปแบบการทำความเข้าใจจากการเรียนรู้ผ่านสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้บนเครือข่ายที่พัฒนาจากหลักการ CLEs : 2552